Feature stories

ส่อง Digital Transformation Trends ที่ใช้ในมาร์เก็ตติ้งในปี 2022

Share on facebook
Share on twitter
Share on email

หัวข้อที่น่าสนใจ

Digital Transformation เป็นอีกหนึ่งคำที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้จักกัน เพราะหลังจากโลกของเทคโนโลยีก้าวหน้า และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันเราในทุกด้านจนโลกของเราตอนนี้กำลังจะเข้าในยุค Metaverse !!

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนทั้งคนที่รู้จัก Digital Transformation อยู่แล้วหรือใครที่ไม่มีความรู้เลยตั้งแต่ 0 มารู้จักกัน! รวมถึงความสำคัญ และอัปเดตเทรนด์ในปี 2022 ที่สายมาร์เก็ตติ้งต้องจับตามองกัน ใครที่สนใจก็สามารถเข้าไปอ่านต่อได้เลย! 

Digital Transformation Trends หมายถึงอะไร สำคัญกับธุรกิจเรารึเปล่า?

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และสามารถนำไปประยุกต์ให้เข้ากับธุรกิจด้านต่าง ๆ ดังนั้น Digital Transformation หมายถึง การใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการวางกลยุทธ์ให้องค์กร วางรากฐาน เป้าหมาย วิธีการดำเนินธุรกิจ ไปจนถึงขั้นตอนการทำงานและวัฒนธรรมภายในองค์กรอีกด้วย 

ถ้าใครที่อยากทำ Digital Transformation ก็ต้องมาทำความรู้จักกับ 3 หัวใจหลักในการทำ Digital Transformation ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

  • เทคโนโลยี (Technology)

แน่นอนว่าถ้าพูดถึงดิจิทัล ก็ต้องพูดถึงเทคโนโลยี ซึ่งเทคโนโลยีนั้นก็คอยพัฒนาอยู่เปลี่ยนแปลง และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น สร้างระบบให้เป็นมิตร, เพิ่มความคล่องตัวโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง รวมถึงมีการใช้ระบบเทคโนโลยีแทนการใช้มนุษย์ เช่นการใช้ Chatbot ในการตอบลูกค้าเบื้องต้น, การสร้างแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าโดยเชื่อมกับการชำระเงิน เพื่อจะได้ช้อปครบง่ายในที่เดียว รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้กับการทำงาน ยกตัวอย่างเช่นการใช้เว็บไซต์มาสร้าง Work Flow เป็นต้น

  • กระบวนการ (Process)

การที่เราหยิบเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ใช่แค่เรานึกอยากจะใช้ก็ใช้ แต่เราต้องเลือกดูด้วยว่าเทคโนโลยีที่เรานำมาใช้ช่วยซัพพอร์ตการทำงานในด้านไหนบ้าง และช่วยลูกค้าของเราได้อย่างไร ซึ่งเราต้องศึกษาทั้งระบบงานภายในองค์กร หรือกระบวนการทำงานกับลูกค้า รวมถึงศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของเรา ไปจนถึงฟีดแบคของลูกค้าอีกด้วย เช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายเราเป็นกลุ่มวัยสูงอายุ เราต้องมองว่าสินค้าอย่างสมุนไพร กลุ่มลูกค้านี้จะซื้อยังไง แล้วเทคโนโลยีนี้จะไปช่วยซัพพอร์ตได้ยังไง  

  • คน (People)

“คน” ถือเป็นหัวใจหลักในการทำ Digital Transformation และเป็นความท้าทายของทุกองค์กรเลยก็ว่าได้ เพราะจุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ของพนักงาน, ประสบการณ์ที่ลูกค้าจะเชื่อมโยงกัน รวมถึง Mindset ของคน เนื่องจากการจะวางแผน และเลือกใช้เทคโนโลยีแต่ละอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์การวางแผน กลยุทธ์ของแต่ละคน ที่จะมีโจทย์ว่าควรวางเทคโนโลยียังไงให้เข้ากับกลยุทธ์ขององค์ รวมถึงกระบวนการทำงานทั้งในบริษัท และกระบวนการทำงานต่อลูกค้าอีกด้วย

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครที่ยังไม่เคยทำ Digital Transformation หรือทรานฟอร์ม คงเริ่มอยากลองทำกันแล้วใช่มั้ย แต่ก็คงไม่รู้จะเริ่มยังไง เราเลยจะขอมาแนะนำ 3 ข้อหลัก ๆ ให้รู้กัน ดังนี้

  1. วางแผนกระบวนการทางธุรกิจ และระบุเทคโนโลยีที่จะเลือกใช้:

ทุกคนคงได้ยิน เราพูดเน้นย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่า เทคโนโลยีนั้นก้าวหน้าและพัฒนาอยู่เสมอตามยุคสมัย เพราะงั้นการใช้แผนธุรกิจแบบเดิม ๆ ก็คงจะไม่ได้ใช่มั้ย? เราจึงต้องเริ่มปรับแผนกระบวนการของธุรกิจกันก่อน จากนั้นพอเรารู้ภาพรวมก็ศึกษา และเลือกเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจ

  1. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีเพื่อดึงดูดคนที่มีประสิทธิภาพ:

วัฒนธรรมขององค์กร อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ ที่คนชอบลืมกัน แต่ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงานของคนในองค์กรเลยนะ ถ้าสมมุติงานดี แต่บรรยากาศเพื่อนร่วมงานไม่โอเค หรือไม่เข้ากับเราก็คงไม่ชอบกันใช่มั้ยล่ะ? ยิ่งเรานำเทคโนโลยีมาปรับใช้ก็ยิ่งต้องปรับวัฒนธรรมในองค์กรไปอีก เพื่อให้ตรงกับเป้าหมาย และวิสัยทัศน์ที่องค์กรได้วางเอาไว้นั้นเอง

  1. กำหนด Roadmap และ KPI

การทำงานในแต่ละอย่าง ย่อมมีการวางแผนกันอยู่แล้วตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การดำเนินการ เทคโนโลยีนวัตกรรมที่จะมาปรับใช้ ตลอดจนการวัดผลสัมฤทธิ์ หรือผลประกอบการที่ได้หลังจากที่เราทำงานไปด้วย เพื่อดูว่าสิ่งที่เราทำไปนั้นมีประสิทธิภาพตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ และสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในอนาคต

ถึงแม้การทำ Digital Transformation อาจดูเหมือนการวางแผนธุรกิจทั่วไป แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จกันหมด เพราะมีการสำรวจจาก Thailand Digital Transformation Readiness ในปี 2021 พบว่า ปัญหาเรื่องที่ว่า ‘ทำไมองค์กรถึงทรานฟอร์มแล้วไม่สำเร็จ’ โดยได้เหตุผลออกมาดังนี้ 

  • องค์กร “ลอกวิธีการของคนอื่น” มา เพราะไม่รู้จะเริ่มเองยังไง
  • คนภายในองค์กร “เห็นภาพไม่เหมือนกัน” จึงไม่เกิดความสามัคคีและร่วมมือกัน
  • “ทิศทางองค์กรไม่ชัดเจน และขาดการสนับสนุน” จากผู้บริหาร
  • “ไม่มีการวัดความพร้อม” ว่าตอนนี้เราอยู่ในจุดไหน
  • บางบริษัท “ทำเพื่อการ PR เท่านั้น”! 

ส่วนทริค และสิ่งสำคัญในการทำทรานฟอร์มองค์กร คือการต้องรู้ว่าเราอยู่จุดไหน โดยเราสามารถใช้ Digital Maturity Level เป็นตัววัด, สร้าง Vision และ Roadmap ให้ชัดเจนแล้วเข้าใจตรงกัน, สร้างความร่วมมือกันทั่วทั้งองค์กร (Create Integration), กล้าที่จะ “ส่องกระจก” มองตัวเอง และวิพากษ์ตัวเอง เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาองค์กรตัวเองต่อ รวมไปถึงบางอย่างผู้นำต้อง “ทำเป็นตัวอย่าง” และ “ไม่ยอมแพ้” และองค์กรต้องกลับมาถามตัวเองด้วยว่า องค์กรของเราตั้งมาเพื่ออะไร?

แต่การทำ Digital Transformation นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นดิจิทัล เราก็ต้องตามเทรนด์ด้วยว่า เทรนด์ดิจิทัลทรานฟอร์มในแต่ละปีมีแนวโน้มยังไง แล้วเทรนด์ในปีถัด ๆ ไปจะเป็นอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เข้ากับธุรกิจของเรานั้นเอง ซึ่งเทรนด์ของ Digital Transformation ในปี 2022 จากมุมมองของ Forbes ซึ่งแบ่งได้ดังนี้

Digital Transformation Trend ที่เราต้องเตรียมตัวในปี 2022

  1. เทคโนโลยี 5G จะมีอยู่ทุกที่

18N3vJa iWxhrWXWMaOKlPJArsO51bSt2UzqeYlF1mdXcL u1z5kVeb gHeeUP0TgX8jAvnsByvYqD8 WIr3GfubXL4CnL3S3V2YAejtjs91mZ Ik87OX1LurUfZhA

เทคโนโลยี 5G คงมีพูดกันบ่อย ๆ ตั้งแต่ตอนที่เทคโนโลยี 4G เข้าแต่ก็เหมือนจะไม่เป็นรูปเป็นร่างสักทีในบ้านเรา ความเร็วของอินเทอร์เน็ตตอนนี้มีแนวโน้มพัฒนาให้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แล้วก็ยิ่งทำให้เราต้องหันมาใช้เทคโนโลยีกันมากขึ้น ส่งผลให้เทคโนโลยีพัฒนาก้าวขึ้นไปอีกระดับอย่างรวดเร็ว เราอาจจะได้เห็นอนาคตความเร็วระดับ 10G ก็ได้นะ ใครจะรู้?

  1. ธุรกิจ Semiconductor จะมีความสำคัญกับทุกธุรกิจ

et2DKdaaoSnqCXiZyAjW2FDH6VAsCSCKQ6uO mrZ9V

รู้รึเปล่าว่า หลังจากยุคที่เทคโนโลยีและดิจิทัลกำลังมาแรง จนทุกคนอาจลืมถึงธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างธุรกิจ “Semiconductor หรือ ชิป (Chip)” ที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่สำคัญต่อการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเทคโนโลยีที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ตโฟน, แบตเตอรี่, หุ่นยนต์, อุปกรณ์ใช้ไฟฟ้า, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), อุปกรณ์ด้านการแพทย์ หรือการคมนาคม เป็นต้น โดยธุรกิจนี้มีประเทศผลิต และส่งออกหลัก อย่าง มาเลเซีย, จีน และญี่ปุ่น แต่พอมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  ระลอกใหม่ ก็ยิ่งทำให้ธุรกิจนี้ที่มีปัญหาผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจไร้ขีดจำกัด ก็กลายเป็นมีปัญหาด้านการผลิต และขนส่งไปยังประเทศต่าง ๆ ยากไปอีก ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาผลิตชิปเป็นของตัวเอง และมีอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นนี้ก็เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงนั้นเอง เช่น SICT ทำให้อนาคตของธุรกิจนี้อาจมีอำนาจในการต่อรองมากกว่าที่เราคิดรึเปล่า? 

  1. องค์กรต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานหลังยุคการแพร่ระบาดโควิด-19 (Work Mega Shift)

หลังจากที่เราอยู่กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาร่วมกว่า 2 ปี ทำให้ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเป็นรูปแบบใหม่กันหมด หรือการใช้ชีวิตสไตล์ “New Normal” ทุกธุรกิจก็ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ยืดหยุ่นและเข้ากับทุกสถานการณ์ในทุกองค์กร ต้องมีการให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home  ทำให้มีการนำซอฟต์แวร์ โปรแกรม และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในการทำงาน เช่น Zoom, Cisco, Telegram,  Tello, Cisco Webx ในการทำงาน รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์ให้พนักงานเพื่อใช้ในการทำงาน

แล้วเคยคิดกันรึเปล่าว่า ถ้าเราต้องอยู่กับการโควิด-19 ไปอีกหลายปีล่ะ จะทำยังไง? องค์กรหลายองค์กรจึงเริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานแบบเดิมตามปกติ แต่ก็คงมีหลายที่ที่ยังมีการทำงานสไตล์ WFH กันอยู่ ซึ่งรูปแบบการทำงานในแต่ละแบบ ก็ย่อมมีคนที่แฮปปี้ หรือไม่ชอบแตกต่างกันออกไป โดยจากงานวิจัย พบว่า หลังจากที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด คนลาออกจากการทำงาน หรือย้ายงานเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Turnover Tsunami’ ที่กลายเป็นโจทย์ของผู้บริหารว่าควรจะรับมือเช่นไร เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์นี้ในองค์กรของตนเอง 

  1. แนวคิด ESG กลายเป็นแนวคิดที่นิยมใช้ในองค์การมากขึ้น

TTesVOXJX vEw wgSLr1Wvk0CrAVTBk9ENTfqVBQ1yJQmZ0i 8VMEmySVx3NYTL79ZUjIwSLm74WgY

ESG หรือย่อมาจาก Environment, Social และ Governance แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนที่ต้องรับผิดชอบหลัก ๆ อยู่ 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม, สังคม และบรรษัทธรรมภิบาล ซึ่งเป็นหลักการที่นำมาใช้ปรับฐานการทำงาน, ช่วยติดตามการดำเนินงานที่ส่งผลต่อการพัฒนาความยั่งยืน

ในปีที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่า ทั้งชุมชนและองค์กรเริ่มหันมาใส่ใจ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงปัญหาโลกร้อนกันมากขึ้น ทำให้มีการออกนโยบายให้สอดคล้องกับการอนุรักษ์เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีมีการรวมตัวกันทำสัญญา ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)’ 100% เพื่อลดการกระบวนการที่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ และหันมาใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น, คาร์บอนฟุตปริ้นท์ (Carbon Footprint), การออกนโยบายเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เป็นต้น

  1. เทคโนโลยี Smart Car สามารถพบเห็นมากขึ้นในอนาคตอันใกล้

YkgYzpEb0q3G63xHz8ffVVZY4rAkP7 Y2cd9VYrPQfhEd4ZrzkvXxW HpRs6U0pgmmccRziMhYVcAzEnH4eDIE7XVVqL47OI8foH1Y hROu1JMQg3w1bHo9XZH217g

“Smart Car หรือรถอัจฉริยะ” ที่เราพูดกันมาเนิ่นนาน จนเกือบลืมไปในไทย แต่ตอนนี้ในต่างประเทศก็เริ่มมีการผลิต Smart Car กันมากขึ้น โดยมีเทคโนโลยีตั้งแต่ รถไร้คนขับ เพราะขับด้วยระบบ AI และหายห่วงเรื่องการชน เนื่องจากมีระบบเซ็นเซอร์ หรือ Eye Detect ที่ช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของคนขับ, รถที่สามารถสื่อสารได้ หรือ (Vehicle to Vehicle; V2V) ที่หลีกเลี่ยงการชนและป้องกันอุบัติเหตุ, รถที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality; AR ในการวิเคราะห์ข้อมูล เส้นทางสิ่งกีดขวาง และแสดงให้เราดูในรูปแบบ 3D รวมถึงรถที่ใช้พลังงานสะอาดแทนการใช้น้ำมัน

  1. ระบบ AI และ Automation จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

AVWImFEAmMKm9vptuuHgBTYW2pDakDg7xkhNhNIutYEhl

หลายคนคงไม่รู้ว่าระบบ AI และ Automation หรือระบบอัตโนมัติเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่การจ่ายเงิน, ระบบตอบกลับจดหมายอัตโนมัติ, การเช็คอินตั๋วเครื่องบิน, ตู้สินค้า และเครื่องดื่มอัตโนมัติ หรือตอนนี้เราคงเริ่มเห็นการนำหุ่นยนต์มาใช้เสิร์ฟสินค้าแทนการใช้พนักงาน เนื่องจากการใช้ AI นั้นมีประโยชน์หลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสามารถแก้ปัญหาได้ราบรื่น รวดเร็ว สามารถทำงานได้ตลอดเวลาไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม 

  1. Privacy Rule มีอิทธิพลและคนให้ความสำคัญมากขึ้น

GdO4ptIDeSHLCmJPDpCg8BMiXkVAMepoT1D v9aGKQr6TBh4Rjy9x7PkyJF8d7tnnXR sfV6i7DMijf8UFASKP99ddWKC4jwOJ qcSEuBd50KLfsBWPnjSO7hXnDNg

ช่วงที่ผ่านมาเราคงได้เห็นข่าวโดนแฮค ข้อมูลรั่วไหลเกือบทุกที่ ตั้งแต่ข่าวที่ธนาคารต่าง ๆ ผู้ใช้งานถูกแฮคบัญชีจนเงินรั่วไหล หรือเว็บไซต์ของศาลรัฐธรรมนูญที่เราเคยคิดว่าต้องมีความปลอดภัยสูงสุด ก็ถูกแฮคเกอร์เปลี่ยนเป็นหน้าเพจยูทูบไปซะอย่างงั้น? ทำให้คนหันมาตระหนักถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้น ต่างจากแต่ก่อนที่คนคงไม่ตระหนักในจุดนี้มากนัก ทำให้มีการเก็บข้อมูลที่ละเมิดความเป็นส่วนตัว และการยินยอมจากเจ้าตัว 

ซึ่งในปัจจุบันจึงเริ่มมีการเก็บข้อมูลหลากหลายรูปแบบ เช่น การเก็บข้อมูลจาก First party, Second party และ Third party ที่มีการเก็บข้อมูลการใช้งาน, พฤติกรรมการซื้อ ฯลฯ ของผู้บริโภคผ่านการแฝง Cookies ที่ทุกคนเห็นให้กดยินยอมในเว็บไซต์กัน จึงมีการใช้ Zero-party data ที่เก็บข้อมูลโดยมาจากความยินยอมของลูกค้า ถ้าใครไม่เห็นภาพ เราจะยกตัวอย่างอันใกล้ ๆ ตัว เช่น ในยูทูบเคยมั้ยที่เราเจอว่าคุณรู้สึกดีกับแบรนด์ไหน หรือเวลาเราโหลดแอปดูหนังสักเรื่องก็จะมีให้เราเลือกหมวดหมู่ของหนังที่เราชอบก่อน

  1. องค์กรจะหันมาใช้ระบบ Hybrid Cloud และ Multi Cloud มากขึ้น

46EcqWFun3QKRhyZOSpT3rDNDb7xha5hHTJtIdrdTQE2SX47nagviypzRKY1ATz34FQ

หลังจากที่เทคโนโลยี และเทรนด์รักสิ่งแวดล้อมเริ่มมีอิทธิพลต่อสิ่งต่าง ๆ ทำให้คนและองค์กรหันมาใช้บริการ Cloud ที่เราสามารถเช่าพื้นที่ในการเก็บข้อมูล ในระบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Google drive, icloud, dropbox, my cloud, Terabox ซึ่ง Cloud Computing ที่นิยมใช้จะมี 4 แบบ ได้แก่ Public cloud, Private cloud, Multi-cloud และHybrid Cloud

  1. ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจะกลายเป็น “Service”

iPFZPkAXnYOdiT00Y1pJoV9AU9Z4Eevo4BIuIDS5LlhTmaVil90EAXNWSz2Qf uEd7 1QuDOjsd8io2 m ieZqSDOBjdhsY kvBbUOGuJq66YKkUPzPSb6N4fa4zFg

ทุกวันนี้ธุรกิจมักหยิบเรื่องรอบตัวเรามาใช้ทำธุรกิจ ยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 คนเราย่อมมีความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งแต่ละธุรกิจต้องหาความต้องการ หรือปัญหาของผู้บริโภคให้เจอ (Pain Point) ยกตัวอย่างธุรกิจที่เล่นในมุมนี้ เช่น หลังจากที่เราต้องทำ Work from home อยู่อาจจะไม่สะดวกการทำงานเท่ากับการไปทำงานที่ออฟฟิศ จึงเริ่มมีแพลตฟอร์มอย่าง Monday, Trello, Zoom, Microsoft team ที่มาช่วยในการทำงาน, หรือพฤติกรรมคนไม่สามารถออกไปไหนได้ ก็มีธุรกิจ Messenger, Food driver ล่าสุดก็มีรับส่งน้องหมาแมวที่บ้านให้เราด้วยนะ

10. การเกิดใหม่ของยุค Metaverse และสกุลเงินใหม่ๆ

J2mpuO5Y1qsjfWmIMWdAySJPzMh2vy95MEvzjj0BmmlLpGLlsqkA5QRDJGNHBy0KwsJqNxPdMov8NLETDiyMTdI8

มาถึงที่เทรนด์สุดท้าย เมื่อโลกเดินทางมาในจุดที่เทคโนโลยีก้าวหน้าจนสามารถ “เชื่อมโลกจริงกับโลกเสมือน”ได้ ด้วยเทคโนโลยี 3D ของ Augumented Reality; AR และ Virtual Reality; VR เข้ามา Mark Zuckerberg ก็มองเห็นอนาคตของยุคเมต้าเวิร์สที่กำลังใกล้เข้ามา และได้เปลี่ยนโฉมของ Facebook ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า “Meta” ที่ไม่ได้ดูแลเพียงแค่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอีกต่อไป แต่ดูแลเทคโนโลยีที่จะทำให้คนเข้าสู่ยุคเมต้าเวิร์ส เราก็มีเขียนบทความเรื่องยุคเมต้าเวิร์สอยู่ ถ้าใครสนใจก็สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Link

ส่วนอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เหมือนจะใหม่ แต่ก็ไม่ได้ใหม่(?) อย่างรูปแบบเงินใหม่ Cryptocurrency และ NFT จริงๆแล้วเริ่มมาจากการที่เราใช้เงินในรูปแบบออนไลน์กันมากขึ้น แทนการใช้เงินสด และเหรียญ ต่อมาก็มีรูปแบบสกุลเงินดิจิทัลเข้ามาอย่าง “Crptocurrency” ที่ทุกคนคงได้ยินสกุลเงินกันดี เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Dogecoin (DOGE), Monero (XMR) เป็นต้น หลังจากนั้นก็มีการเกิดสกุลเงินใหม่ที่คล้ายรูปแบบคริปโตฯ “NFT หรือ Non-Fungible Token” ที่เป็นเหรียญแสดงความเป็นเจ้าของ และแต่ละเหรียญมีความแตกต่างกันออกไป โดยนิยมใช้กันมากในวงการศิลป์ เพื่อนำมาใช้แปลงภาพผลงาน รูปภาพ วิดีโอในรูปเหรียญ NFT เพื่อใช้ซื้อขายแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของนั้นเอง ถ้าอยากศึกษาเรื่องของ NFT ก็เพิ่มเติมก็สามารถอ่านต่อได้ที่ Link

Digital Transformation ถือเป็นเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจ ซึ่งเทคโนโลยีนั้นก็มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เราต้องคอยติดตามเทรนด์เสมอเพื่อนำมาใช้ประยุกต์กับธุรกิจเราได้อย่างตรงจุดนั้นเอง

ถ้าอยากติดตามบทความดีๆ สามารถไปอ่านต่อได้ที่ link

Contact US

Line Official : https://lin.ee/Qtmh0wh

Instagram :

E – mail : masterplanmedia.th@gmail.com

Tel : 090 – 950 – 5544

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก EDTA. Forbes. Medium