Feature stories

How To เพิ่ม “Engagement” ปังปัง! ให้กับ “Instagram Stories”

Share on facebook
Share on twitter
Share on email

หัวข้อที่น่าสนใจ

เชื่อว่ายุคนี้คนบนโลกโซเชียลมีเดียอย่างแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram หันมาใช้งานลงคอนเทนต์บน ‘สตอรี่’ กันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน.. ทำให้บรรดาแบรนด์ลงโฆษณาผ่านช่องทางนี้มากขึ้นด้วย นอกจากที่ลงจะแค่บน Timeline ปกติ

Stories มีความพิเศษที่ว่ามักแจ้งเตือนเมื่อมีการอัพเดทใหม่ในแวดวงเพื่อนที่เรามี Engagement อยู่บ่อยครั้ง ทำให้มีโอกาสเจอโฆษณาบ่อยตามไปด้วย

แต่จะดีกว่าไหมถ้าแบรนด์จะมีวิธีทำให้คนที่กำลังดูสตอรี่อยู่แล้วเจอโฆษณาจะไม่มองข้ามไปง่าย ๆ หรือปัดทิ้งไปเลย.. หากวันนี้ลองมาดูวิธีว่าทำอย่างไรถึงจะช่วยเพิ่ม  Engagement ให้กับ Stories ที่เราลงไปให้คนสนใจ มี Interaction กับสิ่งที่เราลงเพิ่มขึ้นได้บ้าง

1. จำนวนความถี่ของ Stories ที่ลงในแต่ละวัน

ถ้าหากมองในมุมของ Personal Account เชื่อว่าต้องเคยทำหรือเคยพบเห็นบ้างกับการลงสตอรี่แบบถี่ชนิด เหมือนไข่ปลา แน่นอนว่า Instagram มีกฎให้ลงได้สูงสุด 100 สตอรี่ต่อวัน แต่ความจริงคือถ้าเราเจอ Account ที่ลงสตอรี่ถี่ขนาดนั้นเราจะนั่งไล่ดูหมดหรือไม่? ต้องมองย้อนกลับไปว่าคนที่เรากำลังจะสื่อสารกับเรา เขาจะพึงพอใจในจำนวนประมาณเท่าไหร่กัน

โดยก็มีผลวิเคราะห์ออกมาว่าจำนวนที่เหมาะสมแบรนด์ควรมีสตอรี่ต่อวัน 1-3 โพสเพราะมากกว่านี้บางทีกลายเป็นว่าคนเริ่มอยากกดข้ามไปมากกว่าจะดูต่อ โดยพยายามให้สร้าง Template ของโพสต์สตอรี่ให้ดี Message ไหนที่สำคัญ อยากให้คนเห็นมากที่สุด เราก็จัดเรียงไว้เลย 3 โพสต์แรก หลังจากนั้นก็ค่อยไล่เป็น Detail ย่อยไปเรื่อยๆ น่าจะเหมาะสมที่สุด

2. ภาพนิ่งหรือวีดีโอ อันไหนดีกว่ากัน?

จาก Research ของ Social Insider และ Wave Video พบว่า Stories ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอนั้น จะมี Engagement ทาง Positive มากกว่าสตอรี่แบบภาพนิ่ง โดยพวกเค้าทำการศึกษากับ Stories Ads ทั้งหมด 64,571 ชิ้น แล้วเจอสิ่งที่ยืนยันได้ว่าวิดีโอนั้นมี Performance ดีกว่า ตรงที่ Video Content นั้น มีอัตราการกดข้าม (Forward rate) และอัตราการกดออก (Exit rate) ที่ต่ำกว่าภาพนิ่ง หรือถ้าหากเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นจะอยู่ที่ครึ่งนึงหรือ 52%

นอกเหนือจากนี้ Video Stories ยังเพิ่ม Conversation กับผู้คนได้ดีกว่าด้วย ที่สำคัญคือ เรท CTR หรือ Click Through Rate ของไอจีสตอรี่ที่เป็นวิดีโอยังมี Performance อยู่ที่ 0.59% ในขณะที่ภาพนิ่งมี CTR อยู่ที่ 0.29% เท่านั้น

สรุปข้อมูลจากตัวเลขเหล่านี้ก็พอจะบ่งบอกได้ว่า หากคิดจะยิง Ads บนไอจีสตอรี่ ต้องไปหาทำวิดีโอนั้นๆ สัก 15 วินาที เชื่อว่าจะได้ Engagement Rate ที่ดีกว่าภาพนิ่ง

3. ต้องมี Follower เยอะ ๆ หรือไม่?

จาก Research เล่มเดิมพบว่า Instagram Account ที่มียอดผู้ติดตามต่ำกว่า 5,000 คนนั้นะมักมี Reach Rate อยู่ที่ 9.54% ในขณะที่ Instagram Account ที่มีผู้ติดตามสูงกว่าหรือประมาณ 100,000 คน จะมี Reach Rate อยู่ที่ 3.92% เท่านั้น

แต่กลับมีอีกตัวเลขที่ค่อนข้างขัดแย้งกันนิดหน่อยในมุมมองของตัวเลขจำนวนคนกด Exit หรืออัตราการกดออกของ Stories แล้ว กลับพบว่า Instagram Account ของแบรนด์ที่มีผู้ติดตามต่ำกว่า 10,000 คน มักมีอัตราการกดออกที่สูงกว่า หรืออยู่ที่ 6.37% หรือะแตะขนาด 7.32% ซึ่งหากเทียบกับแบรนด์ที่มีผู้ติดตามเยอะๆ อัตราการกดออกนั้นจะต่ำกว่าที่ 4-5% นั่นเอง

แต่นั้นก็แค่ตัวเลขของแบรนด์อื่น ๆ แต่หากเรามา Focus ในเรื่องของ Content ให้เหมาะสม สื่อไปในสิ่งที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายแล้วหละก็ เราจะมีตัวเลข Engagement ที่ดีอย่างแน่นอน

สุดท้ายคือการ Test ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ Content การเรียงลำดับเรื่องราวที่จะสื่อ แล้วเปรียบเทียบ A/B Testing เพื่อให้ได้คอนเทนต์บน Stories ที่เหมาะจะนำไปใช้ในการลงโฆษณาอย่างเหมาะสม