Brand CI นั้นมีให้เห็นอยู่รอบตัวทุกที่ อย่างถ้าเราพูดถึงไทยพาณิชย์ ก็ต้องนึกถึงสีม่วง หรือ ‘น้องกอน’ ที่เป็นมังกรสีเขียวตัวน้อยประจำแบรนด์ Bar B Q Plaza ถ้าโลโก้จระเข้ที่เด่นเป็นสง่า ก็ต้องพูดถึงแบรนด์ lacoste
ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้สร้างเอกลักษณ์และการจดจำของแบรนด์ในลูกค้าได้ แบบถ้าเราพูดถึงสิ่งนี้ก็ต้องร้อง อ๋อ ไปตาม ๆ กัน
แล้วทำไมเราถึงจำสัญลักษณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น โลโก้, สี รวมไปถึงคาแรกเตอร์ประจำแบรนด์ได้ล่ะ? ที่เราจดจำกันได้นั้นมาจาก “Brand CI” นี่แหละ ที่มาช่วยให้เราโดดเด่นจากคู่แข่ง ท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน
ในบทความนี้เราเลยจะมาบอกว่า Brand CI คืออะไร มีหลักการอะไรบ้าง ความสำคัญ รวมไปถึงเคล็ดลับการสร้างที่ทุกคนต้องรู้ ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติมแล้วก็ไปอ่านต่อได้เลย!
Brand CI หมายถึงอะไร?
CI นั่นย่อมาจากคำว่า Corporate Identity หรือแปลไทยว่า อัตลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งแสดงถึงคุณลักษณะเฉพาะ รูปแบบ ความคิดและภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้น ๆ ถ้าเปรียบเทียบกับคนเรา ก็เหมือนหน้าตา รูปร่าง เพศ นิสัยใจคอ รวมไปถึงรสนิยมความชอบของคน ๆ นั้น ที่ทำให้จำได้ว่าคนนี้คือใคร โดย Brand CI นั้นมีองค์ประกอบการออกแบบอยู่ 2 ข้อหลัก มีดังนี้
- Brand Concept: เรื่องราว แนวคิด รวมไปถึงจุดเด่นของแบรนด์ที่องค์กรต้องการสื่อ
- Brand Design: การออกแบบแบรนด์ เช่น สี รูปลักษณ์ Mood&tone
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ทำให้ลูกค้าจดจำเราได้นั่นเอง โดยการออกแบบแบรนด์นั้นไม่ใช่ว่ามีเพียงความสวยงาม เช่นอันนี้ดูสวยเราเลยทำตามคนโน่นคนนี้ หรือแค่การวางคอนเซปต์ไปตามเทรนด์ แบบที่ว่าคนนี้ดังเราก็เอาบ้าง เกาะกระเเสตามเค้าไปบอกเลยว่า แรกๆอาจเกิดผลลัพธ์ดี แต่ก็อาจเกิดผลเสียตามมาทีหลังได้
การสร้าง CI ที่ดีนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘การสร้างเอกลักษณ์’ หรือจุดเด่นของแบรนด์เราขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์เราได้ แบบที่ว่าถ้าพูดถึงสิ่งนี้ก็ต้องนึกถึงแบรนด์ของเรานั่นเอง
Brand CI มีองค์ประกอบอะไรบ้าง?
จริง ๆ แล้วการออกแบบ CI นั้นไม่ได้จำกัดเพียงการออกแบบแนวงานอาร์ตของสายกราฟิก หรือ editor เท่านั้น แต่รวมไปถึงการ ‘ภาษาเขียน’ ที่เป็นงานของนักเขียนคอนเทนต์ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ เรายกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่างเพจ Jones salad ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน กราฟิกและภาษาที่ใช้มีความเข้าใจง่าย แทรกมุกตลก มีเสียดสีการเมืองเล็กๆ หรือเพจที่ให้ความรู้อย่าง ลงทุนแมน ที่ใช้กราฟิกและภาษาทางการเพื่อให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาเสพข่าวนั้น ๆ
เราเลยจะขอการจัดองค์ประกอบของอัตลักษณ์แบรนด์ที่สายกราฟิกและคอนเทนต์ หรือคนที่กำลังจะสร้างแบรนด์ต้องรู้มาให้ดูกัน
- โลโก้แบรนด์ (Logo Brand)
สิ่งแรกที่ขาดไปไม่ได้กับ ‘โลโก้แบรนด์’ ที่เป็นการสร้างเอกลักษณ์ และบ่งบอกว่า สินค้าบริการนี้เป็นของแบรนด์เรา ซึ่งโลโก้แบรนด์นั้นมีการออกแบบที่หลากหลายเพื่อสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ของธุรกิจนั้น ๆ เช่น ตัวอักษร สี รูปภาพ สัญลักษณ์ เป็นต้น
- สี (Color)
สีนั้นเป็นองค์ประกอบที่ช่วยสร้างการจดจำ และอารมณ์ของแบรนด์นั้น ๆ โดยสีแต่ละสีนั้นมีความหมายและการให้อารมณ์ที่แตกต่างกันตามหลักของจิตวิทยาด้วยนะ เช่น
- สีน้ำเงิน – ฟ้า : สื่อถึงความมั่นคง มีระเบียบ ความสงบและผ่อนคลาย
- สีเขียว : สื่อถึงธรรมชาติ ความสบายปลอดภัย สดใส
- สีแดง: สื่อถึงความกระตือรือร้น ความสนใจ หลงใหล และพลัง
- สีดำ: สื่อถึงความเรียบหรู อำนาจ รอบรู้ ลึกลับและความเป็นทางการ
- สีขาว: สื่อถึงความบริสุทธิ์ สันติ ความเรียบง่ายและความสงบ
- ฟอนต์ (Font / Typography)
อาจดูเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ฟอนต์นั้นสำคัญมากนะ! ซึ่งฟอนต์แต่ละแบบก็มีรูปลักษณ์และให้อารมณ์แตกต่างกัน เช่น ฟอนต์แนวน่ารักจะเน้นความโค้งเว้า หรือแนวเรียบหรูที่จะเน้นความเป็นเหลี่ยมที่มากกว่า
- เทมเพลท (Template)
เทมเพลทคงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนลืมกัน แต่เทมเพลทนั้นช่วยสร้างความกลมกลืนและช่วยสร้างการจำจดและเป็นส่วนหนึ่งของกราฟิกประจำแบรนด์มากขึ้น เช่น สัญลักษณ์, รูปร่าง เส้นต่างๆ
- Mood&Tone
Mood&Tone เป็นการสร้างภาพลักษณ์คอนเซปต์ และจุดเด่นโดยรวมของแบรนด์ว่า ลูกค้าจะรู้สึกกับแบรนด์เราอย่างไร เช่น ถ้าเราเป็นแบรนด์ออกกำลังกายก็จัดรูปภาพให้อยู่ mood & tone ที่สื่อถึงพลังและการเคลื่อนไหว เราอาจจะต้องใช้สีสดใสอย่างแดงชมพู ส้ม เป็นต้น
- คาแรกเตอร์ หรือมาสคอต (Brand Character)
อันนี้ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่บางแบรนด์ก็มีการสร้างมาสคอตประจำแบรนด์ที่ช่วยสร้างสีสัน และตัวแทนสื่อกลางระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เช่นแบรนด์ AIS, Bar B Q Plaza ที่มีน้องกอน หรือมาสคอตของเพจ Jones Salad ซึ่งการใช้มาสคอตประจำแบรนด์นั้นนิยมกันมากในประเทศญี่ปุ่น เช่น แบรนด์ริลาคุมะ หรือคุมะมงที่ทุกคนคงเคยเห็นผ่านตากันดี
- ภาษาเขียน
เวลาเราโพสต์รวมถึงการทำรูปกราฟิก ย่อมต้องมีแคปชั่นสั้น ๆ หรือยาวร่วมด้วย ซึ่งแต่ละแบรนด์นั้นก็มีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไปอีก การเลือกใช้ภาษาและสำนวนการเขียนจึงต้องแตกต่างกัน กล่าวคือ ถ้าแบรนด์เราเจาะลูกค้าวัยรุ่น หรือเด็กก็อาจจะเน้นภาษาเข้าใจง่าย เป็นกันเอง ส่วนแบรนด์ที่เป็นแนวให้ข่าว ข้อมูลก็จะเป็นการเขียนสำนวนทางการไปหน่อย เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ถ้าเป็นโพสต์แนวให้ข้อมูลข่าวทางการ แต่เขียนสำนวนแบบวัยรุ่น ติสๆ ไปเลยก็ดูจะไม่เหมาะเท่าไหร่
ทำไม Brand CI ถึงสำคัญ?
- กำหนดทิศทางในการสื่อสารขององค์กรต่อลูกค้า
การสร้าง CI นั้นถือเป็นการสื่อสารทั้งภายในองค์กร เพื่อให้คนในองค์กรเข้าใจตรงกันว่าต้องการจะสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร ยิ่งถ้าองค์กรเรามีคนอยู่จำนวนมาก การจะสร้างระบบแบบแผนให้มีระเบียบตามกันก็ยิ่งมีความสำคัญ ดังนั้นจึงมีการ
- สร้างการจดจำให้ลูกค้า
ลองมองในมุมกลับถ้าสมมุติเราเป็นลูกค้า บางทีจะซื้อโซดา ก็จะนึกถึงสองแบรนด์ดังใหญ่ๆ อย่างทุกหยดซ่าโซดาสิงห์ หรือแบรนด์ช้าง พอเราลองยกทุกคนคงเห็นภาพขึ้น เพราะในปัจจุบันสินค้าแต่ละอย่างมีคู่แข่งมากมายในตลาด ดังนั้นเราต้องสร้างเอกลักษณ์ หรือความเป็นยูนีคให้กับแบรนด์เรา เพื่อให้ลูกค้าสนใจ และสร้างการจดจำแบรนด์นั่นเอง
- ลดความสับสน
CI นั้นจะทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมของแบรนด์ไปในทางเดียวกัน ซึ่งการทำธุรกิจบางองค์กรอาจมีหลายช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า เราลองสังเกตได้เลยว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ นั้นยึดหลักความเป็นอัตลักษณ์ของแบรนด์สูงมาก เช่นใช้โทนสี ฟอนต์ โลโก้ การออกแบบไปในทางเดียวกัน แบบที่ว่าลูกค้าต้องร้องอ๋อถ้าเจองานเรารวมกับคู่แข่งคนอื่น เนื่องจากการที่ลูกค้าจำจดเราได้ จะมีโอกาสให้ลูกค้าเกิดการซื้อสินค้าบริการซ้ำจากเราได้
จะเห็นแล้วใช่ไหมว่า การกำหนดอัตลักษณ์ของแบรนด์นั่นไม่ได้ยากอย่างที่คิด และถือเป็นกลยุทธ์เพื่อให้เรามีตัวตนที่โดดเด่นของแบรนด์ และทำให้เราได้เปรียบกว่าคู่แข่งที่มากมาย ในตลาด ซึ่งการทำ CI ก็เหมือนกับการหาตัวเองนั่นแหละ ใครที่ยังไม่ได้วางแผนก็ต้องรีบวางแผนแล้วนะ
ถ้าอยากติดตามบทความดีๆ สามารถไปอ่านต่อได้ที่ link
Contact US
Line Official : https://lin.ee/Qtmh0wh
Instagram :
E – mail : masterplanmedia.th@gmail.com
Tel : 090 – 950 – 5544
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก AT-ZE. Digitory. Primal. StartUp NOW. ZORT