ในสถานการณ์ที่ Covid-19 เข้ามาเป็นหายนะในชีวิตของหลายๆคน ยอมรับว่าแทบจะทุกอย่างของการใช้ชีวิตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งการเรียน การทำงาน รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่วนใหญ่จะปรับเปลี่ยนมา Work from Home กันหมดแล้ว สิ่งที่จะแทรกซึมต่อมานั่นก็คือเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งมากขึ้น พูดง่ายๆว่าแทบจะทั้งหมดเลยดีกว่า
ในเศรษฐกิจและสถานการณ์บ้านเมืองที่วิกฤตขนาดนี้ เป็นเรื่องยากสำหรับการทำธุรกิจ แต่ถ้าเราไหวตัวทัน อาจพบโอกาสในการทำธุรกิจอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน เราอาจจำเป็นต้องคิดใหม่ทำใหม่ หรือที่เรียกว่า “New Way New Me” ซึ่งหลายคนอาจประสบปัญหาว่าการคิดใหม่ทำใหม่ ควรจะทำอะไรดี จะเริ่มต้นยังไง สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือผลกระทบจากการแพร่ระบาดทั้งในเรื่องของการตกงาน หรือบางที่ถึงกับต้องปิดบริษัทไปเลย
ปัจจุบันมีการพูดถึง Digital Optimism หรือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้กับทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็น Customer Engagement, Customer Experience, Transform Product Service หรือการสร้าง Empower ให้กับพนักงานในองค์กร ทั้งหมดนี้จะทำงานผ่านเทคโนโลยี ซึ่งธุรกิจจะต้องเลือกเทคโนโลยีที่จะมาช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในอนาคตนั่นเอง
แต่แค่ Digital Optimism อาจไม่เพียงพอสำหรับการทำธุรกิจยุคนี้ จึงควรต้องร่วมมือกับอีกหลายๆปัจจัยหรือเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มาดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง!
Anywhere, Everywhere
อย่างที่พูดไปตอนแรกว่า คนส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนการทำงานมาเป็นแบบ Work from Home กันหมดแล้ว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ และคาดว่าเราจะอยู่ในสภาพนี้กันไปอีกนาน ฉะนั้นการทำงานก็จะไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำงานอยู่ที่บ้านเท่านั้น แต่ต้องสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ซึ่งองค์กรจะต้องพัฒนาและเตรียมความพร้อมเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานได้จากทุกที่ที่ไหนก็ได้
มองในมุมมองของลูกค้าบ้าง ถ้าธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว ก็จะช่วยเปิดโอกาสให้กับธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้จากที่ไหนก็ได้ เช่น การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นต้น ซึ่งในอนาคตอาจจะสามารถใช้งานข้ามประเทศก็เป็นได้
Strategic Economy Partnership with Purpose
กลุ่มที่ดูจะกระทบที่สุดนั่นก็คือธุรกิจหนะสิ นี่คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเท่าไหร่ในการแก้ปัญหาคนเดียว เพราะคงจะเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีพันธมิตรและต้องหาความร่วมมือที่ช่วยให้แต่ละฝ่ายได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน เช่น การทำ Data Sharing หรือ การ Collapes กันระหว่างสองธุรกิจเพื่อให้เกิดอีกหนึ่งโปรเจคใหม่เป็นต้น
Built-in The Economy of Trust
ต่อเนื่องจากความที่มันเศรษฐกิจมันแย่ การจับจ่ายใช้สอยมันก็เลยยากขึ้นเพราะคนมันไม่ได้มีเงินซื้อเหมือนเดิม มันเลยมีการคิดแล้วคิดอีกเวลาจะเลือกซื้อสินค้าสักชิ้น ความน่าเชื่อถือเลยเป็นเรื่องที่สำคัญขึ้น รวมไปถึงในด้านของเทคโนโลยีที่ธุรกิจต้องทำให้ลูกค้าเชื่อหน่อยว่าเรามีความปลอดภัยทางด้านข้อมูลนะ ข้อมูลของคุณไม่รั่วไหลแน่นอน
Security & Privacy
ขอขยายเรื่องความน่าเชื่อถืออีกสักเล็กน้อย ในอดีตหลายๆองค์กรอาจมีแนวคิดที่ว่า อุปกรณ์ภายในออฟฟิศมีความปลอดภัยมากกว่าอุปกรณ์ภายนอกออฟฟิศ เห้ย ใช่เปล่า? คอมออฟฟิศนี่แหละตัวดีเลยจ้า ซึ่งในปัจจุบันอุปกรณ์ภายในออฟฟิศนี่แหละคือช่องทางสำคัญที่ทำให้เกิดการเจาะข้อมูล ทั้งจากทางไวรัสคอมพิวเตอร์และแฮคเกอร์ ซึ่งแนวคิด Zero Trust จะป้องกันรวมไปถึงอุปกรณ์ภายในออฟฟิศ การใช้ Password อาจกลายเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้ว อีกทั้งยังถูกเจาะข้อมูลได้ ปัจจุบันอาจต้องใช้วิธียืนยันตัวตนผ่าน Biometric หลายๆรูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถแยกแยะตัวตนของแต่ละบุคคลได้อย่างชัดเจน
Skill
คงจะไม่พูดไม่ได้ว่ายุคนี้มันเป็นยุคของหายนะชัดๆ เศรษฐกิจพัง คนตกงาน ตกงานไม่พอ แย่งงานกันอีก
ฉะนั้นนี่คงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีที่เราจะได้ Upskill และ Reskill กันใหม่ ซึ่งทักษะในหลายๆด้านมันสามารถเรียนรู้ได้ง่ายๆ ทั้งบนโลกโซเชียล โดยไม่จำเป็นต้องเป็นต้องเป็นที่เก่งด้าน IT เสมอไป
สรุปง่ายๆแบบได้ใจความก็คือ ใครปรับตัวได้ไวกว่าคนนั้นถึงจะรอด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกลยุทธ์ทางการตลาดที่เราอาจต้องรื้อกันใหม่ การสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับลูกค้า รวมไปถึงการพัฒนาสกิลของตัวเอง จงเป็นคนที่ตื่นรู้และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลานะคะ